วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สิงโตแห่งจอมเบ (The lions of Njombe)


          สิงโตแห่งจอมเบ (The lions of Njombe)

มันเริ่มเกิดขึ้นปี 1932 ในแทนซาเนียใกล้เมืองจ็อมเบ เกิดเหตุการณ์ฝูงสิงโตยักษ์ออกมาฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง ตำนานมีอยู่ว่าสิงโตได้รับการควบคุมโดยแม่มดหมอผีในชนเผ่าท้องถิ่นชื่อมาตา มูลา แมนเกรา (Matamula Mangera) ที่เธอมักส่งฝูงสิงโตออกมาทำร้ายคนหากใครก็ตามที่ลบหลู่เธอหรือต่อต้านเธอ



ฝูงสิงโตของเธอนั้นได้คร่าชีวิตมนุษย์ไปถึง 1,500 ศพ (บางคนบอกว่า 2,000 คน) และนี้คือเหตุการณ์สิงโตทำร้ายมนุษย์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ และหนึ่งในกรณีของสัตว์ทำร้ายมนุษย์เลวร้ายที่สุดที่เคยบันทึกไว้ แม่มดมาตามูลามีอำนาจบาตรใหญ่มากขนาดหัวหน้าเผ่าอื่นๆ ไม่กล้ายุ่งกับเธอ

จนกระทั้งจอร์จ (George Rushby 1900-1968) นายพรานที่มีชื่อเสียงได้ตัดสินใจปราบฝูงสิงโตนั้น เขาฆ่าสิงโตไป 15 ตัวและทำให้เหตุการณ์สิงโตทำร้ายคนยุติลงในที่สุด และเรื่องราวของจอร์จได้ถูกนำมาสร้างละครกึ่งสารคดี BBC ในชื่อ “The Man-eating Lions of Njombe.” ออกอากาศในเดือนกรกฎาคม 2005

ผีร้ายและความมืด (The Ghost and the Darknes)


          ผีร้ายและความมืด  (The Ghost and the Darknes)


ผีร้ายและความมืด เป็นชื่อของสิงโตคู่กินคนที่ออกอาละวาดฆ่าคนงานก่อสร้างแรงงานทางรถไฟจากเคน ย่าไปยูกันดา ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงธันวาคม 1898 โดยหลายคนขนานนามเหตุการณ์นี้ว่า “Tsavo maneaters” มันเริ่มขึ้นเมื่อจักรวรรดิอังกฤษกำลังแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทวีป แอฟริกา ในเดือนมีนาคม 1898 ทางการอังกฤษได้เริ่มต้นสร้างทางรถไฟข้ามแม่น้ำซาโว ในเคนย่าโครงการนี้ควบคุมโดย พ.ตท.จอห์น เฮนรี่ แพ็ตเตอร์สัน(John Henry Patterson) ในช่วงแรกพวกคนงานต้องผจญกับสัตว์ป่าที่ทำร้ายพวกเขา เนื่องจากพวกเขาสร้างทางรถไฟในเขตป่า แต่กระนั้นในเหตุการณ์เหล่านี้ก็สามารถควบคุมได้อยู่หมัด 



จนกระทั้งเก้า เดือนต่อมามัจจุราชที่แท้จริงก็ปรากฏ เมื่อจอห์นได้รับรายงานจากคนงานว่าพวกเขากำลังผจญหน้ากับสิงโตคู่เพศผู้ พันธุ์ซาโว (เป็นสิงโตพันธุ์หนึ่งที่มีขนาดใหญ่และมักร่วมมือสิงโตเพศเดียวกันตัวอื่น เพื่อล่าอาหาร จุดเด่นคือมันไม่มีแผงขนที่คอ) ที่มันมักลากพวกคนงาน (ส่วนมากเป็นชาวอินเดีย) จากเต้นท์ของพวกเขาในเวลากลางคืนและกลืนพวกเขาเป็นอาหารมาหลายราย คนงานพยายามป้องกันสิงโตคู่นี้โดยการทำรั้วหนามรอบๆ ค่าย แต่ก็ไม่สามารถป้องกันมัจจุราชคู่นี้ได้เลย เพราะว่ามันฉลาดพอในการแก้ปัญหานี้ โดยการคลานผ่านรั้วลวด หนาม หลายครั้งก็ทวีความรุนแรงและน่ากลัวขึ้น เพราะมันเริ่มล่าทั้งกลางคืน กลางวัน จนทำให้คนงานหวาดกลัวพวกมันอย่างมากและเรียกขานพวกมันว่าผีร้ายและความมืด

พวกมันมีเขี้ยวที่ยาวเป็นพิเศษทำให้พวกเขาไม่เชื่อว่าพวกมันไม่ใช่สิงโต แต่เป็นปีศาจร้ายที่หลุดมาจากนรก ในขณะที่บางคนเชื่อว่าสิงโตนี้เป็นร่างเกิดใหม่ของกษัตริย์โบราณของท้องถิ่น ที่พยายามขับไล่ผู้รุกรานอังกฤษ (เป็นความเชื่อของแอฟริกาตะวันออกที่เชื่อว่าสิงโตเป็นร่างกลับชาติมาเกิด ของกษัตริย์) คนงานหลายคนลังเลที่จะสร้างสะพานต่อ และบางคนหนีออกจากค่ายดีว่าจะรอเป็นเหยื่อของสิงโตปีศาจ

เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลทำให้จอห์นต้องหยุดงานทำสะพาน และเริ่มออกล่าสิงโตคู่นี้ชนิดเอาเป็นเอาตาย เขาวางกับดักและพยายามเกาะรอย ดักฆ่ามันในตอนกลางคืนจากต้นไม้ แต่กระนั้นจอห์นก็ไม่สามารถฆ่าสิงโตคู่นี้ได้เสียที จนกระทั้งเขายิงสิงโตตัวแรกได้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1898 (เขาใช้เวลานานถึง 9 เดือน) และสามสัปดาห์ต่อมาเขาก็ฆ่าสิงโตตัวที่สองได้ โดยสิงโตทั้งสองตัวมีขนาดใหญ่ถึง เมตร (วัดจากจมูกถึงปลายหาง) นอกจากนี้จอห์นและคณะยังพบถ้ำที่เป็นที่อยู่ของมันซึ่งได้พบซากของผู้ตกเป็น เหยื่อของสิงโตจำนวนมาก มีทั้งกระดูก เสื้อผ้าและเครื่องประดับ

หลังจากที่จอห์นจัดการสิงโตทั้งคู่ได้สำเร็จ เขาก็กลับมาทำสะพานต่อจนสำเร็จลุล่วงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1899 และจอห์นได้เขียนหนังสือที่เล่าเหตุการณ์นี้ในชื่อ ”The Man-Eaters of Tsavo(1907)” โดยจำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อสิงโตคู่นั้น ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่หลายคนเชื่อว่าเหยื่อน่าจะสูงถึง 135-140 คนหรือมากกว่านั้น ในปี 1924 ขนสตั๊ฟของสิงโตคู่นี้ถูกขายให้พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่ชิคาโกในราคา 5,000 เหรียญสหรัฐ ในสภาพดีมาก

ตำนานสิงโตกินคน (Legend of Man-eating Lions)


ตำนานสิงโตกินคน (Legend of Man-eating Lions)
จากเรื่องราวของเสือ คราวนี้เรามาดูตำนานของจ้าวป่าแห่งทุกหญ้าซาวันน่าอย่าง สิงโต กันบ้างดีกว่า เจ้าแมวใหญ่ขนดกพวกนี้ก็มีสถิติการทำร้ายคนที่ดูน่ากลัวไม่แพ้เสือโคร่งพันธุ์เบงกอลเช่นกัน 

ความโหดร้ายของเหล่าราชสีห์พวกนี้ก็คือ สถิติการทำร้ายคนของพวกมันนั้น มักจะเกิดขึ้นในช่วงพลบค่ำ ที่สำคัญ พละกำลังและความรุนแรงของพวกมัน มีมากกว่าเสือโคร่งหลายเท่า เหตุผลที่สิงโตหันมาไล่ล่าคน ก็ไม่ต่างจากเสือก็คือ แก่ชรา แรงเริ่มหมด ฟันเล็บเริ่มทู่ โดยสิงโตที่ทำร้ายคนมากที่สุดนั้น เป็นสิงโตพันธุ์ซาโว 




นักวิทยาศาสตร์ชาวแทนซาเนียได้รายงานถึงสถิติตั้งแต่ปี 1990 – 2005 ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่น่าเชื่อ ว่าในเขตชนบทของประเทศแทนซาเนียนั้น มีผู้คนถูกฆ่าโดยสิงโตมากถึง 563 ราย

เรามาดูตำนานอันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากสิงโตกันดีกว่า ...

เสือโคร่งแห่งมุนดาชิมาลัม (Tiger of Mundachipallam)


เสือโคร่งแห่งมุนดาชิมาลัม (Tiger of Mundachipallam)

เสือโคร่งฆาตกรตัวนี้ ก็ยังคงเป็นเสือโคร่งพันธุ์เบงกอล โดยคราวนี้เป็นตัวผู้ โดยคดีของมันนั้น มันฆ่าคนจำนวน 7 คนในแถบหมู่บ้านเพนนาการัม ซึ่งอยู่ใกล้กับเขตน้ำตกโฮเกนัคคัล ประเทศอินเดีย

เหยื่อของมันรายแรกนั้น ถือว่าเป็นความซวยของชาวประมงคนหนึ่งที่เผลอเข้าไปรบกวนช่วงเวลาที่มันกำลังผสมพันธุ์กับเสือโคร่งตัวอื่นอยู่ใกล้ๆแม่น้ำ มุนดาชิมาลัม แต่เมื่อมันฆ่า มันกลับไม่กินศพ แล้วก็เป็นแบบเดียวกันกับเหยื่อรายถัดมา ซึ่งเป็นคนตัดไม้ มันฆ่าแต่ไม่กิน แต่ทว่า เหยื่อรายที่ 3 ซึ่งเป็นผู้หญิงที่มาเก็บผลไม้ป่านั้น มันฆ่าแล้วก็เริ่มที่จะลิ้มลองเนื้อมนุษย์

 

นายพรานในตำนานอย่าง เคนเน็ธ อันแดร์สัน ถูกเรียกตัวมาช่วยเหลือชาวบ้านอีกครั้ง แต่ตอนแรกนั้นเขายังไม่สามารถที่จะไปช่วยปฏิบัติภารกิจได้ เพราะเขาเองก็ยังติดงานที่อื่นอยู่ และในช่วงเวลาก่อนที่เขาจะมาถึง เหยื่ออีก 2 รายก็ปรากฏ และในที่สุดเมื่ออันแดร์สันมาถึง ไบร่า ซาวรี และลูคัส คือลูกมือของเขาที่จะช่วยงานในคราวนี้ และมีอาวุธคู่กายเป็น ปืน .12 คนละกระบอก  พวกเขาได้ผูกเหยื่อไว้ตามจุดต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อมันหันไปล่าคนแทน โดยมันบุกเข้าไปลากชายคนหนึ่งไปกินโดยศพนั้นอยู่ห่างจากกระท่อมของเขาเพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้นเอง

อันแดร์สันตัดสินใจที่จะสร้างห้างยิงสัตว์ และซุ่มรอดูจนกว่าเสือโคร่งตัวนี้จะกลับมา แต่แล้วก็มีการยิงปืนเกิดขึ้น แต่พลาดท่า เพราะสิ่งที่ปรากฏตัวขึ้นมานั้น ไม่ใช่เสือ แต่เป็นเพียงสุนัขที่มีขนลายเสือโคร่งแค่นั้น แต่ว่ามันก็ปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆในตอนหลัง ทว่า ... แทนที่จะสามารถยิงโป้งเดียวหาย กลับกลายเป็นว่าชาวบ้านที่มาช่วย กลับคึกด้วยการส่งเสียงดัง และเคาะไม้ไผ่กันดังจนเสือโคร่งมันวิ่งหนีไป

ในคืนต่อมา อันแดร์สันได้ยินชาวบ้านบอกว่า พบเสือโคร่งกำลังไล่ตามผู้ชายสองคนอยู่ และเมื่อันแดร์สันกับพรรคพวกตามไป ก็พบว่าชายทั้ง 2 ได้ปีนต้นไม้หลบมันทันอย่างหวุดหวิด

เวลา 7 โมงเช้าของอีก 2 วันถัดมา วันแห่งชะตากรรมอันน่าเศร้าของเนสือโคร่งตัวนี้ก็มาถึง เมื่อมันล่าคนเป็นอาหารได้เป็นศพสุดท้าย มันก็โดนยิงตัดทะลุขั้วหัวใจโดยอันแดร์สันเจ้าเก่า จากการที่เขามาซุ่มดักยิงอยู่ก่อนหน้าแล้ว

เสือโคร่งแห่งโจวลากิริ (Tigress of Jowlagiri)


เสือโคร่งแห่งโจวลากิริ (Tigress of Jowlagiri)

ตำนานเสือโคร่งแห่งโจวลากิริ เป็นเรื่องราวของเสือโคร่งพันธุ์เบงกอลเพศเมีย โดยมันฆ่าคนตายไป 15 คนจากบริเวณเมืองโจวลากิริ และเมืองกันดาลัม 30 กิโลเมตรไปทางใต้ และจากพรมแดนของรัฐมัยซอร์ไปทางทิศตะวันตก

เสือโคร่งตัวเมียตัวนี้ เริ่มสร้างชื่อเสียงในเรื่องความดุร้ายขึ้นที่หมู่บ้านริมชายป่าโจวลากิริ และมันก็ได้หฆ่าหญิงสาวคนหนึ่ง แต่แล้วเพื่อนชายของเธอ นามว่า “แจ๊ค เลโอนาร์ด” ก็สวมบทนายพรานจำเป็นออกไล่ล่ามัน แต่ก็ไม่สามารถตามฆ่ามันได้ แต่อย่างน้อย แจ๊คก็ได้ยิงให้มันบาดเจ็บไปได้ โดยเขาแอบซ่อนตวอยู่หลังจอมปลวกในช่วงที่มันปรากฏตัว แต่ทว่า หลังจากเขายิงมันจนได้รับบาดเจ็บแล้วนั้น มันก็รีบวิ่งหนีกลบเข้าป่าไป และด้วยความอ่อนประสบการณ์ของเขานั้น ทำให้เขาไม่สามารถที่จะตามเสือโคร่งตัวนี้เข้าไปในป่ามันได้

 

และแล้ว เหยื่อของมันอีกรายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น โดยคราวนี้เป็นชายอายุ 16 ปีขณะที่กำลังไปเก็บผลไม้ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ ซูเลกันตาร์ ห่างจากโจวลากิริ 7 กิโลเมตร

นายพรานชาวอินเดีย “แคนเน็ธ อันแดร์สัน” ได้ถูกเรียกตัวมาเพื่อช่วยเหลือปฏิบัติการในครั้งนี้ ในเวลานี้ เสือโคร่งได้คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 15 รายแล้ว โดยเป็นผู้หญิงเสีย 3 คน อันแดร์สันเดินทางจากโจวลากิริไปยังซูเลกันตาร์เพื่อตามล่าเสือโคร่งตัวนี้ โดยเขาได้ไปร่วมกลุ่มที่ค่ายกันดาร์ลัม 23 ที่อยู่ทางใต้ ซึ่งค่ายนี้ อยู่ในพื้นที่ที่เสืออาละวาด และคอยสังเกตการณ์พฤติกรรมของมันมาตลอด

อันแดร์สันได้รับควายมาเป็นเหยื่อล่อเสือ จำนวน 3 ตัว โดยตัวหนึ่งไปผูกไว้ใกล้กับแม่น้ำ อีกตัวหนึ่งไปผูกไว้กับเส้นทางที่จะไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง อันเชตตี้ ส่วนอีกตัวหนึ่งนำไปผูกไว้กับต้นแม่น้ำ

ในวันถัดมา อันแดร์สันถือปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์ .405 ออกเดินป่าเพื่อสำรวจเหยื่อที่เขานำไปล่อโดยเริ่มต้นที่ริมแม่น้ำ ซึ่งผลคือ เหยื่อยังคงเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย แต่ทว่าเขาก็ได้รับข่าวร้ายมาจากลูกบ้านชาวอันเชตตี้ เมื่อมีชายผู้เคราะห์ร้าย ถูกเสือโคร่งตัวนี้ลากไปกิน อันแดร์สันจึงแกะรอยที่เสือลากศพเข้าป่า จนกระทั่งไปพบอยู่กลางป่า เขาจึงตั้งใจที่จะดักซุ่มเพื่อรอให้เสือตัวนี้กลับมากินศพ

แล้วมันก็มาจริงๆ ...

ในวินาทีที่มันปรากฏ อันแดร์สันก็ลั่นไกใส่พยัคฆ์ร้ายตัวนี้ทันที แต่กลับพลาดเป้า โดนเฉี่ยวๆที่บริเวณหูของมัน มันก็รีบหนีกลับเข้าป่าไปในทันที

หลังจากยิงมันให้บาดเจ็บได้ อันแดร์สันก็ประจำอยู่ที่กันดาร์ลัมอีก 10 วัน ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับ แต่ว่าในอีก 3 เดือนถัดมา เขาก็ได้รับข่าวมาว่า เสือโคร่งตัวนี้ออกล่าเหยื่ออีกครั้งแล้ว โดยคราวนี้มันฆ่านักบวชที่วัดแห่งหนึ่งในซูเลคันตาร์ และด้วยเหตุนี้ อันแดร์สันจึงต้องกลับไปที่กันดาร์ลัมอีกครั้ง ด้วยคำร่ำลือถึงเสือโคร่งตัวเมียที่ใบหูแหว่งไปข้างหนึ่งจากคมกระสุนที่อันแดร์สันฝากไว้ให้เมื่อคราวก่อน และก่อนหน้าที่อันแดร์สันจะไปถึง มันก็ฆ่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไปอีก 1 คน

การเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัวของอันแดร์สัน กับไอ้ลายหูแหว่งได้เริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง มันจำเขาได้ดีที่ทำมันจนหูหายไปข้างหนึ่ง มันไม่รอช้า กระโจนใส่เขาทันที และยอดนายพรานผู้นี้ ก็ตอบโต้ด้วยการยิงไรเฟิล .405 วินเชสเตอร์เข้าที่กลางหน้าผาก แล้วซ้ำอีกนัดด้วยการยิงเข้าที่ลำคอของมันอย่างแม่นยำ

และก็ปิดตำนานของเสือร้ายแห่งโจวลากิริไปตลอดกาล ...

เสือโคร่งผัวเมียแห่งโชวกาห์ (The Tigers of Chowgarh)


เสือโคร่งผัวเมียแห่งโชวกาห์ (The Tigers of Chowgarh)

คราวนี้เรียกได้ว่า อาจจะหนักกว่าเสือโคร่งตัวอื่นที่เคยออกอาละวาด เพราะคราวนี้มันมากันถึง 2 ตัว โดยเป็นเสือตัวผู้และตัวเมียพันธุ์เบงกอล ออกฆ่าคนถึง 64 คนในช่วงระยะเวลาแค่ 5 ปีทางตะวันออกของเมือง Kumaonโดยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1500 ไมล์ (3900 กิโลเมตร) โดยการโจมตีครั้งแรกของพวกมันนั้น เกิดขึ้นจากคมเขี้ยวของเสือโคร่งตัวเมีย แต่เวลาต่อมา เจ้าตัวเมียตัวนี้ก็ได้แท็กทีมเข้ากับเสือโคร่งตัวผู้อีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่ของมัน

ตัวเลขของคนที่เสียชีวิตเพราะเสือ 2 ตัวนี้ แม้แต่ชาวเมืองก็ยังทราบไม่แน่ชัด แต่เขาเชื่อว่า จากตัวเลขเดิมที่ระบุไว้ที่ 64 คนนั้นน่าจะน้อยไป มันอาจจะมีมากกว่านี้เป็น 2 เท่าเลยก็ได้ เพราะบางที เราอาจจะไม่คาดถึงพวกที่รอดชีวิตจากการโจมตีของพวกมันแล้วมาเสียชีวิตในภายหลังก็มี

 

นายพรานที่ถูกส่งมาเพื่อล่าเสือโคร่งกลุ่มนี้ก็คือ ตำนานนายพรานที่เคยสยบ “เสือโคร่งแห่งซัมพาวัต” มาแล้วอย่าง “จิม คอร์เบ็ต” นั่นเอง

วันที่ 15 ธันวาคม ปี 1925 คนจากหมู่บ้านดัลคาเนียได้เดินทางขึ้นเขา เพื่อยังกระท่อมของบูเธีย ซึ่งเป้นเกษตรกรที่เลี้ยงแพะ โดยชาวหมู่บ้านดัลคาเนียตั้งใจที่จะเข้าไปเพื่อต่อว่าบูเธียเรื่องที่ว่า แพะของเขานั้นมักจะลงไปกินพืชผักที่พวกเขาปลูกไว้เป็นประจำ

แต่ทว่าเมื่อไปถึงพื้นที่กระท่อมของเขา กลับพบกับซากศพของสุนัขที่เขาเลี้ยงไว้เพื่อเฝ้าฝูงแพะ ถูกฆ่าตายอย่างน่าสยดสยอง และในบ้านนั้นก็มีร่องรอยการต่อสู้ แต่ไม่พบบูเธีย แต่แล้วในวันถัดมา ก็พบศพของบูเธียที่อยู่ในสภาพที่เละเทะ อยู่ห่างจากกระท่อมเพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้น

จิมถูกขอให้มาทำการล่าเสือร้าย 2 ตัวนี้ การล่าเสือร้ายทั้ง 2 ตัวเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1929 โดยจิมตั้งชื่อเสือกลุ่มนี้ว่า โชวกาห์ เพราะด้วยขนาดรูปร่างที่ใหญ่โตของพวกมัน จิมพบว่าเสือกลุ่มนี้ออกล่าเหยื่อเป็นประจำที่บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของสันเขาอาการ์ คาลาร์

นายพรานเลือดผู้ดีผู้นี้มาถึงบังกะโลริมชายป่าคาลาร์ในช่วงเดือนเมษายนหลังจากสิ้นเดือนมีนาคมประมาณ 4 วัน โดยพบว่าเหยื่อรายล่าสุดที่พวกมันฆ่านั้นคือ เด็กเลี้ยงวัววัย 22 ปี ยายของวัยรุ่นที่ตกเป็นเหยื่อ ได้อนุญาตให้จิมใช้ควายที่เธอเลี้ยงไว้ 4 ตัวไปเป็นเหยื่อล่อให้เสือโคร่งปิศาจพวกนี้ มาติดกับให้ได้

และเมื่อได้เบาะแสแล้ว จิมก็ได้ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านดัลคาเนีย ซึ่งอยู่ห่างจากบังกะโลประมาณ 16 กิโลเมตร และเมื่อไปถึง เขาก็ได้ข้อมูลมาว่า เสือได้พยายามฆ่าผู้หญิงนางหนึ่งที่มาเก็บข้าวโพด แต่ไม่สำเร็จ เมื่อเธอสามารถหนีได้ ซึ่งงานนี้ จิมได้ตกลงที่จะออกล่าเสือกลุ่มนี้ก่อนที่ชาวบ้านจะเสียขวัญไปมากกว่านี้

ตอนเที่ยง จิมได้เดินทางไปยังหุบเขาซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวบ้านบอกว่า พวกเขาได้ยินเสียงคำรามของเสือ และหลังจากนั้นจนถึงช่วงบ่าย เขาก็ไม่พบอะไรที่เป็นร่องรอยเลย แต่ทว่าในช่วงเย็นนั้น จิมได้พบกับซากศพของหนุ่มเลี้ยงวัวที่เหลือเพียงเศษศพที่สภาพดูไม่ได้เสียแล้ว

แต่ในคืนนั้นเอง ก็ได้เรื่องเมื่อจิมสามารถยิงเสือตัวหนึ่งจนตายได้ และเมื่อเขาเข้าไปตรวจสอบนั้น เสือตัวนี้ยังเป็นเพียงแค่เสือตัวลูกเท่านั้น ยังโตไม่เต็มที่ นั่นทำให้เขาสันนิษฐานได้ว่า การล่าเหยื่อของพวกมันแต่ละครั้งนั้น ตัวเมียต้องพึ่งพาเสือตัวผู้ที่เป็นตัวลูกนี้ตลอด

วันต่อมา จิมใช้ควาย 4 ตัวเป็นเหยื่อล่อ แต่ตลอดระยะเวลา 10 วันที่เขาใช้เหยื่อล่อนั้น กลับไม่มีข่าวคราวที่เสือออกล่าคนเลย แม้แต่เหยื่อล่อก็ปลอดภัย ไม่มีพวกมันออกมาทำร้ายเลยสักครั้ง แต่มันเกิดเรื่องขึ้นในวันถัดมาต่างหาก หญิงสาวรายหนึ่งถูกฆ่าตายห่างจากหมู่บ้านประมาณครึ่งไมล์ และเมื่อจัดการทำพิธีศพเสร็จแล้ว จิมได้ลองใช้เหยื่อล่อเป็นแพะแทน แต่ก็ไม่ได้ผล เสียเวลาไปอีก 3 วัน แล้วก็มีหญิงสาวอีกนางหนึ่งถูกฆ่าตายที่หมู่บ้านโลฮาลิ ห่างจากหมู่บ้านดัลคาเนียไปทางใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร

เมื่อจิมเดินทางไป ก็พบว่าหญิวสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะช่วยกันปฐมพยาบาลกันอย่างเต็มที่ แต่เธอก็สิ้นใจในคืนวันต่อมา

จิมตัดสินใจเดินทางออกจากหมู่บ้าน โดยเตือนผู้ใหญ่บ้านว่า ให้พยายามต้อนควายให้กลับเข้าคอกก่อนมืด แต่ทว่า หลังจากจิมกลับไปนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ถูกฆ่าตายโดยเสือโคร่งตัวเมีย ...

1 ปีถัดมา จิมได้กลับมายังหมู่บ้านดัลคาเนียอีกครั้ง เพราะทราบข่าวมาอีกว่า มีผู้คนมากมายถูกเสือโคร่งตัวเมียนี้ฆ่าตายมากมายหลายศพ เขาใช้ควายเป็นเหยื่อล่ออีก แต่ก็กลับผิดพลาด เพราะยิงผิดตัว เขาไปตรวจสอบซากเสือที่เขายิงนั้น ไม่ใช่เสือโคร่งตัวที่กำลังอาละวาด จิมจึงตัดสินใจเข้าประชุมเพื่อปรึกษาแผนการกับนายอำเภอเทไร

ในวันที่ 22 มีนาคม ปี 1930 จิมได้รับข่าวมาจากอาการ์คาลาร์อีกว่า เสือโคร่งได้ฆ่าหญิงสาวคนหนึ่งไปอีกแล้ว จิมก็ไม่ยอมเปลี่ยนวิธี ยังคงใช้เยหื่อล่อเป็นควายเหมือนเดิม แล้วตัวที่มาติดกับโดนส่องแทน ก็เป็นเสือดาว 2 ตัวแทน

วันที่ 11 เมษายน ปี 1930 จิมพร้อมลูกทีมอีก 2 คนได้เดินทางไปยังอาการ์คาลาร์ และได้วางเหยื่อล่อเป็นควายเช่นเดิม แต่คราวนี้ เขาได้เลือกที่จะพรางตัวเองเข้าไปหินริมเชิงเขา ซึ่งเป็นจุดที่ลูกน้องของเขาบอกว่า ไดยินเสียงเสือโคร่งตัวเมียตัวนี้ และเมื่อมันปรากฏตัว ติมก็ส่องมันด้วยปืนไรเฟิลเต็มแรงจากระยะ 8 ฟุต เพราะมันเห็นจิมและพุ่งกระโจนเข้ามา

เมื่อถูกยิงแสกหน้าจนตายคาที่ จิมก็เข้าไปตรวจสอบซากเสือตัวนี้ พบว่าทั้งฟันและเล็บของมัน มีแต่หักๆและบิ่นทั้งนั้น จึงได้ข้อสรุปว่า เสือตัวนี้น่าจะแก่จนร่างกายเริ่มล่าเหยื่ออย่างสัตว์ป่าทั่วไปไม่ไหว มันจึงหันมาล่ามนุษย์แทนนั่นเอง

เสือโคร่งแห่งเซกูร์ (Tiger of Segur)


เสือโคร่งแห่งเซกูร์ (Tiger of Segur)

เสือโคร่งผีสิงตัวต่อไปนั้น เป็นเสือโคร่งพันธุ์เบงกอลตัวผู้ที่มีขนาดที่โตเต็มวัยแล้ว โดยมันเริ่มออกฆ่าคนในพื้นที่ระหว่างเมืองมาลาบาร์ กับพื้นที่ตะวันเฉียงใต้ของเทือกเขา Blue Moutain ซึ่งมีเมือง กูดาเลอร์ตั้งอยู่  แต่สถานที่ๆสร้างชื่อเสียงและตำนานความดุร้ายของมัน อยู่ที่เมืองเซกูร์เสียมากกว่า  มันก็โดนนายพรานชาวอินเดีย ซึ่งโลดแล่นไปในป่าดงพงไพรยาวนานหลายสิบปีนามว่า “เคนเน็ธ อันเดอร์สัน” ยิงตายจนได้

 

มันเปลี่ยนพื้นที่ล่าเหยื่อโดยคราวนี้ มันได้รุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตเมืองเซกูร์ และอไนคัทตี้ และเริ่มต้นฆ่าคนที่นั่น โดยเหยื่อรายแรกของมันนั้นเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ไปตักน้ำที่ลำธาร

เคนเน็ธ อันแดร์สัน ได้เล่าว่าเขาพยายามที่จะแกะรอยของเสือปิศาจตัวนี้ โดยเขาได้ยินมาว่าเสือโคร่งตัวนี้ มักจะเดินไปมาบนถนนราว 30 กิโลเมตร ระหว่างป่าของเซกูร์และอไนคัตตี้ เพื่อล่าเหยื่อ โดยในช่วงอาทิตย์แรกนั้น เขาแทบไม่เจอร่องรอยของมันเลย นับว่าเป็นสัตว์ป่าที่ฉลาดมาก

จนแล้วจนรอด เขาก็ได้ยินข่าวที่ชวนน่าสงสัยว่า มีมนุษย์หายตัวไปในบริเวณเชิงเขา Nilgiris ซึ่งข่าวนี้ ได้มาในวันที่ 7 ที่เขาเริ่มต้นล่าเสือตัวนี้นี่เอง และเมื่อเขาไปพบซากศพนั้น ก็พบว่าสัตว์ที่กำลังกินซากอยู่นั้น เป็นหมีสล็อท หาใช่เสือโคร่งไม่

2 วันถัดมา มีรายงานมาจาก Mahvanhalla ระบุไว้ว่ามีผู้หญิงถูกเสือฆ่าตายบริเวณสะพานข้ามลำน้ำ ซึ่งอยู่ติดกับถนนใหญ่ และเมื่ออันแดร์สันเดินทางไปตรวจสอบนั้น ก็พบเจอเพียงแค่เศษชิ้นส่วนศพที่เหลือจากที่เสือโคร่งกินเท่านั้น เขาจึงนำชิ้นส่วนศพนั้น กลับไปให้สามีของเธอ เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

อันแดร์สันลองใช้เหยื่อล่อเสือตัวนี้ให้ออกมา โดยเขาผูกควายไว้ใกล้แม่น้ำเซกูร์ โดยตัวอันแดร์สันเองนั้นก็ไม่ได้คาดหวังว่า เสือตัวนี้จะมาติดกับ เพราะมันก็พึ่งจะกินคนไปหยกๆ แต่ที่เขาต้องแปลกใจก็คือวันถัดมา เมื่อเขากลับมาดูควายที่ผูกไว้ ปรากฏว่า กลายเป็นซากที่ถูกกัดกินจนดูไม่ได้อีกแล้ว ด้วยน้ำมือของเสือโคร่งตัวเดิม และคืนนั้นเอง เขาตัดสินใจต่อห้างยิงสัตว์บนต้นไม้ แต่เสือโคร่งตัวนี้กลับเงียบ ไม่ยอมปรากฏตัวออกมา

อีก 2 วันถัดมา เหยื่อรายต่อมาก็เกิดขึ้น โดยคราวนี้เป็นเด็กชาย เสือโคร่งตัวนี้บุกเข้าจู่โจม 2 พ่อลูกขณะกำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน โดยเสือโคร่งตัวนี้พยายามหลอกล่อให้เด็กนั้น ออกห่างจากพ่อ และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็ติดกับจริงๆ และถูกมันคาบเข้าป่าไป อันแดร์สันพยายามแกะรอยไปจนกระทั่งเขาต้องใชวิธีผูกตาข่ายและพรางด้วยใบไม้เพื่อที่จะพรางตัวเองเข้ากับธรรมชาติ ไม่ให้เสือโคร่งเห็นตัวเขา โดยเขาสังเกตพฤติกรรมบางอย่างมันได้ก็คือในตอนเย็น เสือโคร่งได้กลับเข้าป่าไป แต่ไม่ได้เอาศพไปด้วย แต่ไม่นานนัก มันก็กลับมาอีกเพื่อเอาศพที่กินเหลือไป

อีก 7 วันถัดมา เหยื่อรายนี้ก็เป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อันแดร์สันกับพ่อของเด็กผู้เสียชีวิต ได้ช่วยกันแกะรอยเสือโคร่งมหาภัยตัวนี้ด้วยการบุกเข้าป่า จนกระทั่งเจอศพเด็กหนุ่มผู้นี้ เขาสังเกตโดยรอบว่า พื้นที่บริเวณนั้นมีร่องรอยการต่อสู้เกิดขึ้นจริง พบทั้งหมวก รองเท้าตกอยู่ ศีรษะของเด็กชายนั้น มีรอยตะปบซึ่งเกิดจากอุ้งเท้าขนาดใหญ่ของเสือโคร่งตัวนี้ และอันแดร์สัน ก็ตัดสินใจที่จะตั้งห้างยิงสัตว์ในบริเวณนั้น เพราะเชื่อว่าเสือโคร่งตัวนี้จะต้องปรากฏตัวขึ้นอีก แต่การปฏิบัติการก็ต้องล้มเหลว เพราะเกิดฝนตกหนัก และติดโรคมาลาเลียที่กำลังระบาดในป่าเข้าจนได้

อันแดร์สันใช้เวลาพักฟื้นรักษาตัวอยู่ 3 วันจึงหายไข้และกลับมาไล่ล่าเสือโคร่งตัวนี้อีกครั้ง โดยเขามุ่งหน้าไปที่แม่น้ำเซกูร์พร้อมกับผู้ติดตาม โดยในระหว่างที่เขาซุ่มอยู่นั้น กวางตัวหนึ่งได้วิ่งออกมา และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่อเสือโคร่งฆาตกรตัวนี้ ปรากฏกายขึ้นที่ริมแม่น้ำ อันแดร์สันไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป เขาเหนี่ยวไกยิงด้วยปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์ .405 เข้าที่ซีกซ้ายของมันอย่างแม่นยำ

และเมื่อเขาได้เข้าไปตรวจสอบซากศพของเสือตัวนี้ พบว่าเสือโคร่งตัวนี้ตาบอดหนึ่งข้าง และมีร่องรอยการถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกซองอีกด้วย

เสือโคร่งแห่งซัมพาวัต (The Champawat Tiger)


เสือโคร่งแห่งซัมพาวัต  (The Champawat Tiger)

เริ่มต้นตำนานบทแรกของเสือโคร่งกินคนที่ตำนานของ เสือโคร่งแห่งซัมพาวัต ซึ่งเป็นตำนานของเสือกินคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก

เสือโคร่งฆาตกรตัวนี้เป็นเสือโคร่งเพศเมีย ทำสถิติฆ่าคนสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 436 ราย โดยมันอาละวาดอยู่ในแถบป่าชายแดนระหว่างอินเดีย กับเนปาล ความดุร้ายและยอดผู้เสียชีวิตจากคมเขี้ยวมันนั้น ถึงขนาดที่ว่า กินเนสต์เวิลด์เร็คคอร์ด ต้องยกให้มันเป็นเสือโคร่งที่ฆ่าคนมากที่สุดตลอดกาลไปเลย

 

ช่วงเวลาอาละวาดของมันนั้น อยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยมันสังหารโหดเหยื่อมากกว่า 200 คนในเนปาล โหดถึงขนาดที่ว่าทางการเนปาล ต้องส่งกองทหารมาไล่ล่ามันโดยเฉพาะ แต่ก็ล้มเหลว มันก็ได้หลบหนีจนกระทั่งเข้าไปในหมู่บ้านซัมพาวัตที่อยู่ริมชายแดนเนปาลกับอินเดีย ว่ากันว่าเสียงคำรามของมันนั้น ดังกึกก้องไปทั่วหมู่บ้าน ไม่มีใครกล้าออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ

ในปี 1907 มันโชว์ลีลาการสังหารเหยื่อรายสุดท้ายเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปีอาศัยอยู่ในเมืองซัมพาวัต แต่แล้วในที่สุด กรรมของมันก็ตามทัน เมื่อมันโดนจับตายด้วยฝีมือการเหนี่ยวไกปืนสุดแม่นยำเข้าที่ปากจนทะลุส่วนหัวของเจ้าเสือโคร่งผีสิงตัวนี้ของนายพรานในตำนาน “จิม คอร์เบ็ท” เป็นนายพรานที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ซึ่งชาวซัมพาวัตต่างพากันยกย่องเขามาก และจิม คอร์เบ็ทก็ไม่คิดจะเอาเงินรางวัลจากการสังหารเจ้าเสือโคร่งมหันตภัยตัวนี้เลย

ตำนานเสือกินคน (Legend of Man-eating Tigers)


ตำนานเสือกินคน (Legend of Man-eating Tigers)
หลายๆประเทศในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง หรือทางแอฟริกา ต่างต้องคุ้นเคยกับคดีสยองขวัญที่เกิดจากเจ้าแมวใหญ่พวกนี้ ตำนานแห่งเสือกินคน

สถิติของเสือโคร่งที่ทำร้ายและกินคนเป็นอาหาร มีมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ เผลอๆนั้นอาจจะมากกว่าเสือดาว หรือสิงโตที่โตเต็มวัยเสียอีก รายงานระบุว่าคนส่วนใหญ่ที่ตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งนั้น มักจะเป็นพวกบรรดาคนหลงป่าที่เผลอเข้าไปในอาณาเขตที่พวกมันอยู่ และที่สำคัญ สถิติการถูกเสือโคร่งฆ่าตายของมนุษย์นั้น มักจะเกิดขึ้นในเวลากลางวันเสียด้วยซ้ำ เพราะเสือโคร่งชอบหากินเวลากลางวัน ผิดกับสิงโต และเสือดาวที่มักออกโจมตีเหยื่อในเวลากลางคืน



ในพื้นที่ป่าซันดาร์บันส์ของบังคลาเทศนั้น มีการค้นพบประชาการเสือโคร่งพันธุ์เบงกอลถึง 600 ตัว อีกทั้งยังมีรายงานว่ามีผู้คนตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งถึงปีละ 50 – 250 คนเลยทีเดียว ซึ่งดุจากตัวเลขแล้วนี่ ไม่ธรรมดามาก เสืออยู่ใกล้แหล่งที่อยู่อาศัยของคน อีกทั้งมันยังลงมากินน้ำจืดในธารน้ำใกล้กับหมู่บ้านที่คนอยู่ จึงเป็นไปได้ยากที่มนุษย์จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์ป่าอันตรายแบบนี้

มีบางช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ มีคนตายเป็นจำนวนมาก ซากศพมนุษย์ที่ยังไม่สามารถเก็บกู้ได้นั้น ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของเหล่าเสือโคร่งพันธุ์เบงกอลที่หิวโหยเหล่านี้

สัตว์กินคน (Man-Eater)


ความตายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ...
 ความตาย ... สำหรับทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากพบอยากเจอ ไม่อยากให้ตัวเราเองหรือคนที่เรารักต้องเจอกับชะตากรรมที่โหดร้ายแบบนั้น ปกตินั้นแค่ญาติสนิทมิตรสหายเรา ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตนั้นก็เรียกว่าน่าเศร้าที่สุดแล้ว 

แต่ใครเล่าจะทนฝืนชะตากรรมของแต่ละคนได้ ...

รถชนตาย ... ไฟคลอกตาย ... ตกตึกตาย ...หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คนๆหนึ่งเสียชีวิตอย่างน่าสงสาร ไม่ได้เสียชีวิตแบบธรรมดา แก่ตายไปตามอายุขัย ย่อมทำให้เกิดแผลใจ และเป็นความฝังใจ ที่จะยังคงอยู่กับคนที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ...

แต่หากว่าคนที่เรารัก หรือญาติสนิทมิตรสหายของเรากลับต้องตายในสภาพที่ไม่ได้ถูกวัตถุหรืออะไรก็ตามกระทำล่ะ
ฆาตกร … ? จากมนุษย์ด้วยกันเอง ก็มีให้เห็นประปราย เป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหรืออกข่าวตามรายการโทรทัศน์แทบจะทุกวัน แค่นี้โลกเราก็แทบจะโกลาหลกันเกือบหมดแล้ว

แต่ถ้าฆาตกรที่ลงมือ มันไม่ใช่คน แต่กลับเป็นสิ่งที่พวกเราเรียกว่า “สัตว์เดรัจฉาน” ขึ้นมาล่ะ จะเป็นยังไง มันจะยิ่งดูน่ากลัว ดูสยอง ดูน่าเวทนามากกว่าคนที่ตายเพราะอุบัติเหตุรถชนหรือไม่ ความโหดร้ายเหล่านี้ ล้วนเคยเกิดขึ้นมานักต่อนักแล้ว ยิ่งหลายๆคดี ก็ยิ่งดูน่าขนลุก เพราะยังจับตัวฆาตกรโหดที่ไม่สามารถพูดภาษาคนได้ อีกทั้งมนยังลอยนวลและปรากฏตัวออกมาให้ผู้คนต้องเห็นอีกตลอดเวลา

ขอเชิญผู้อ่านทุกท่าน ร่วมกันเปิดแฟ้มคดีสุดโหดนี้กับ “ตำนานโหด สัตว์ฆาตกร” ...



สัตว์กินคน (Man-Eater)
ตั้งแต่อดีตมาแล้วนั้น เราได้เรียนรู้วิชาสังคม ได้เรียนรู้จักคำว่าสัตว์ประเสริฐ กับสัตว์เดรัจฉาน สัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์ มีสติปัญญา สามารถสร้างสรรค์อะไรต่างๆได้มากมาย จนก่อเกิดเป็นอารยธรรมต่างๆที่ดูมีค่าสืบต่อกันมาหลายพันปี

หากเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันก็มีเพียงแค่พละกำลังเท่านั้นที่เป็นเอกลักษณ์ แต่มันจะสามารถสู้กับมนุษย์ที่มีสติปัญญาได้ยังไง มนุษย์สามารถคิดค้นอุปกรณ์ต่างๆไว้เพื่อจับพวกมัน ไว้เป็นอาหารหลักในการประทังชีวิต สัตว์ใหญ่ย่อมกินสัตว์เล็ก มันเป็นวัฏจักรแห่งธรรมชาติ

แต่หากกลับกันที่ว่า เป็นสัตว์เดรัจฉานเองเสียล่ะ ที่หันมาล่าและกินสัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์เป็นอาหารอันโอชะซะเอง มันจะเกิดอะไรขึ้น



Man-Eater เป็นศัพท์เทคนิกที่ชาวต่างชาติ เรียกสัตว์ป่าที่หันมาทำร้ายคนแล้วกินเป็นอาหาร เราน่าจะคุ้นเคยกันดีเพราะส่วนใหญ่แล้ว บรรดาภาพยนตร์เกรด B ทั่วๆไป มักหยิบเอาสัตว์ป่าบางประเภทมาตัดแต่ง ทำให้ขนาดร่างกายดูใหญ่โต ดูน่ากลัวขึ้น และล่าคนเป็นอาหาร

บางคนคิดว่า จริงเหรอครับ... มันจะเป็นไปได้เหรอ สัตว์ป่าเนี่ยนะจะกินคน แบบนี้มันก็เท่ากับแหวกห่วงโซ่อาหารน่ะสินั่น ... ?

เรื่องราวของสัตว์ทำร้ายคนนั้นนั้น มีมายาวนานเกือบๆ 100 ปีมาแล้ว อย่าไปนับพวกสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์กัดเด็กเลย นั่นยังน้อยไป สิ่งที่เราจะพูดกันในเวลานี้คือ เรื่องราวของสัตว์ป่าจริงๆที่เกิดติดใจในรสชาติของเนื้อมนุษย์แทนเนื้อของสัตว์อื่นๆ แล้วหันหน้ามาล่ามนุษย์แทน จนต้องเกิดการล่าสังหารกันขึ้น และที่สำคัญ มันดูโหดร้ายและสยองขวัญยิ่งกว่าในภาพยนตร์เสียอีก

หากจะให้เราหยิบตัวอย่างมาว่า สัตว์อะไรที่มีสถิติทำร้ายคนสูงมากในลำดับต้นๆ ก็ขอบอกเลยว่าส่วนใหญ่ที่คุ้นเคยก็จะเป็น เสือโคร่ง , เสือดาว , จระเข้ , ฉลาม , ไฮยีน่า ... ไม่ไกลแล้วไปจากพวกนี้

ในต่างประเทศต่างมีข่าวเรื่องสัตว์ทำร้ายคนอยู่บ่อยครั้ง แล้วส่วนใหญ่มักจะตกเป็นเหยื่อ ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ ทางประเทศไทยเองก็เช่นกัน มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา



เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องแปลกใจแล้วว่า ทำไมมันถึงเปลี่ยนมาล่ามนุษย์แทนที่มันจะล่าสัตว์ที่เป็นเหยื่อตามธรรมชาติของมันล่ะ มันกล้าขนาดบุกเข้ามาถึงถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ที่น่าจะมีอาวุธมากพอที่จะต่อกรกับมัน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น … ?

ทำไมต้องกินคน
ตามความเชื่อส่วนบุคคล และจากการวิจัยนั้น สัตว์ป่าที่หันมาล่ามนุษย์เป็นอาหาร ส่วนใหญ่เกิดจากที่ว่า เป็นสัตว์ที่มีอายุเยอะแล้ว แก่จนทำอะไรไม่ไหว หูตาฟ่าฟาง ประสาทการรับรู้กลิ่น การได้ยินเริ่มไม่ดี เขี้ยวเริ่มทู่ ดังนั้นการได้เจอสิ่งมีชีวิตที่แทบจะไม่มีแรงไปสู้พละกำลังมหาศาลของพวกมัน อย่างมนุษย์ แล้วเมื่อมันได้กิน ก็เป็นธรรมดาที่มันจะติดใจ

เนื้อมนุษย์นั้น ไม่ต้องสำรอกขนหรือเขาออกมา และเมื่อลิ้มรสครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งที่ 2 คนโบราณถึงกับบอกว่า สัตว์ที่กินเนื้อมนุษย์นั้น มักจะโดนวิญญาณของคนที่มันกิน เข้าไปสิง ทำให้เรียกกันว่าเป็นสัตว์ผีสิง อย่างกรณีเสือกินคนนั่นเอง ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเสือที่มีอายุมากแล้ว