เสือโคร่งผัวเมียแห่งโชวกาห์ (The Tigers of Chowgarh)
เสือโคร่งผัวเมียแห่งโชวกาห์ (The Tigers of Chowgarh)
คราวนี้เรียกได้ว่า
อาจจะหนักกว่าเสือโคร่งตัวอื่นที่เคยออกอาละวาด เพราะคราวนี้มันมากันถึง 2 ตัว
โดยเป็นเสือตัวผู้และตัวเมียพันธุ์เบงกอล ออกฆ่าคนถึง 64 คนในช่วงระยะเวลาแค่ 5 ปีทางตะวันออกของเมือง
Kumaonโดยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1500 ไมล์ (3900 กิโลเมตร)
โดยการโจมตีครั้งแรกของพวกมันนั้น เกิดขึ้นจากคมเขี้ยวของเสือโคร่งตัวเมีย แต่เวลาต่อมา
เจ้าตัวเมียตัวนี้ก็ได้แท็กทีมเข้ากับเสือโคร่งตัวผู้อีกตัวหนึ่ง
ซึ่งเป็นคู่ของมัน
ตัวเลขของคนที่เสียชีวิตเพราะเสือ
2 ตัวนี้ แม้แต่ชาวเมืองก็ยังทราบไม่แน่ชัด แต่เขาเชื่อว่า
จากตัวเลขเดิมที่ระบุไว้ที่ 64 คนนั้นน่าจะน้อยไป มันอาจจะมีมากกว่านี้เป็น 2
เท่าเลยก็ได้ เพราะบางที
เราอาจจะไม่คาดถึงพวกที่รอดชีวิตจากการโจมตีของพวกมันแล้วมาเสียชีวิตในภายหลังก็มี
นายพรานที่ถูกส่งมาเพื่อล่าเสือโคร่งกลุ่มนี้ก็คือ
ตำนานนายพรานที่เคยสยบ “เสือโคร่งแห่งซัมพาวัต” มาแล้วอย่าง “จิม คอร์เบ็ต”
นั่นเอง
วันที่ 15 ธันวาคม ปี 1925
คนจากหมู่บ้านดัลคาเนียได้เดินทางขึ้นเขา เพื่อยังกระท่อมของบูเธีย
ซึ่งเป้นเกษตรกรที่เลี้ยงแพะ
โดยชาวหมู่บ้านดัลคาเนียตั้งใจที่จะเข้าไปเพื่อต่อว่าบูเธียเรื่องที่ว่า
แพะของเขานั้นมักจะลงไปกินพืชผักที่พวกเขาปลูกไว้เป็นประจำ
แต่ทว่าเมื่อไปถึงพื้นที่กระท่อมของเขา
กลับพบกับซากศพของสุนัขที่เขาเลี้ยงไว้เพื่อเฝ้าฝูงแพะ ถูกฆ่าตายอย่างน่าสยดสยอง
และในบ้านนั้นก็มีร่องรอยการต่อสู้ แต่ไม่พบบูเธีย แต่แล้วในวันถัดมา ก็พบศพของบูเธียที่อยู่ในสภาพที่เละเทะ
อยู่ห่างจากกระท่อมเพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้น
จิมถูกขอให้มาทำการล่าเสือร้าย 2
ตัวนี้ การล่าเสือร้ายทั้ง 2 ตัวเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1929
โดยจิมตั้งชื่อเสือกลุ่มนี้ว่า โชวกาห์ เพราะด้วยขนาดรูปร่างที่ใหญ่โตของพวกมัน
จิมพบว่าเสือกลุ่มนี้ออกล่าเหยื่อเป็นประจำที่บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของสันเขาอาการ์
คาลาร์
นายพรานเลือดผู้ดีผู้นี้มาถึงบังกะโลริมชายป่าคาลาร์ในช่วงเดือนเมษายนหลังจากสิ้นเดือนมีนาคมประมาณ
4 วัน โดยพบว่าเหยื่อรายล่าสุดที่พวกมันฆ่านั้นคือ เด็กเลี้ยงวัววัย 22 ปี ยายของวัยรุ่นที่ตกเป็นเหยื่อ
ได้อนุญาตให้จิมใช้ควายที่เธอเลี้ยงไว้ 4
ตัวไปเป็นเหยื่อล่อให้เสือโคร่งปิศาจพวกนี้ มาติดกับให้ได้
และเมื่อได้เบาะแสแล้ว
จิมก็ได้ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านดัลคาเนีย ซึ่งอยู่ห่างจากบังกะโลประมาณ 16
กิโลเมตร และเมื่อไปถึง เขาก็ได้ข้อมูลมาว่า
เสือได้พยายามฆ่าผู้หญิงนางหนึ่งที่มาเก็บข้าวโพด แต่ไม่สำเร็จ
เมื่อเธอสามารถหนีได้ ซึ่งงานนี้
จิมได้ตกลงที่จะออกล่าเสือกลุ่มนี้ก่อนที่ชาวบ้านจะเสียขวัญไปมากกว่านี้
ตอนเที่ยง
จิมได้เดินทางไปยังหุบเขาซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวบ้านบอกว่า พวกเขาได้ยินเสียงคำรามของเสือ
และหลังจากนั้นจนถึงช่วงบ่าย เขาก็ไม่พบอะไรที่เป็นร่องรอยเลย
แต่ทว่าในช่วงเย็นนั้น
จิมได้พบกับซากศพของหนุ่มเลี้ยงวัวที่เหลือเพียงเศษศพที่สภาพดูไม่ได้เสียแล้ว
แต่ในคืนนั้นเอง
ก็ได้เรื่องเมื่อจิมสามารถยิงเสือตัวหนึ่งจนตายได้ และเมื่อเขาเข้าไปตรวจสอบนั้น
เสือตัวนี้ยังเป็นเพียงแค่เสือตัวลูกเท่านั้น ยังโตไม่เต็มที่
นั่นทำให้เขาสันนิษฐานได้ว่า การล่าเหยื่อของพวกมันแต่ละครั้งนั้น
ตัวเมียต้องพึ่งพาเสือตัวผู้ที่เป็นตัวลูกนี้ตลอด
วันต่อมา จิมใช้ควาย 4
ตัวเป็นเหยื่อล่อ แต่ตลอดระยะเวลา 10 วันที่เขาใช้เหยื่อล่อนั้น
กลับไม่มีข่าวคราวที่เสือออกล่าคนเลย แม้แต่เหยื่อล่อก็ปลอดภัย
ไม่มีพวกมันออกมาทำร้ายเลยสักครั้ง แต่มันเกิดเรื่องขึ้นในวันถัดมาต่างหาก
หญิงสาวรายหนึ่งถูกฆ่าตายห่างจากหมู่บ้านประมาณครึ่งไมล์
และเมื่อจัดการทำพิธีศพเสร็จแล้ว จิมได้ลองใช้เหยื่อล่อเป็นแพะแทน แต่ก็ไม่ได้ผล
เสียเวลาไปอีก 3 วัน แล้วก็มีหญิงสาวอีกนางหนึ่งถูกฆ่าตายที่หมู่บ้านโลฮาลิ
ห่างจากหมู่บ้านดัลคาเนียไปทางใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร
เมื่อจิมเดินทางไป
ก็พบว่าหญิวสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะช่วยกันปฐมพยาบาลกันอย่างเต็มที่
แต่เธอก็สิ้นใจในคืนวันต่อมา
จิมตัดสินใจเดินทางออกจากหมู่บ้าน
โดยเตือนผู้ใหญ่บ้านว่า ให้พยายามต้อนควายให้กลับเข้าคอกก่อนมืด แต่ทว่า
หลังจากจิมกลับไปนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ถูกฆ่าตายโดยเสือโคร่งตัวเมีย ...
1 ปีถัดมา
จิมได้กลับมายังหมู่บ้านดัลคาเนียอีกครั้ง เพราะทราบข่าวมาอีกว่า มีผู้คนมากมายถูกเสือโคร่งตัวเมียนี้ฆ่าตายมากมายหลายศพ
เขาใช้ควายเป็นเหยื่อล่ออีก แต่ก็กลับผิดพลาด เพราะยิงผิดตัว
เขาไปตรวจสอบซากเสือที่เขายิงนั้น ไม่ใช่เสือโคร่งตัวที่กำลังอาละวาด
จิมจึงตัดสินใจเข้าประชุมเพื่อปรึกษาแผนการกับนายอำเภอเทไร
ในวันที่ 22 มีนาคม ปี 1930 จิมได้รับข่าวมาจากอาการ์คาลาร์อีกว่า
เสือโคร่งได้ฆ่าหญิงสาวคนหนึ่งไปอีกแล้ว จิมก็ไม่ยอมเปลี่ยนวิธี
ยังคงใช้เยหื่อล่อเป็นควายเหมือนเดิม แล้วตัวที่มาติดกับโดนส่องแทน ก็เป็นเสือดาว
2 ตัวแทน
วันที่ 11 เมษายน ปี 1930
จิมพร้อมลูกทีมอีก 2 คนได้เดินทางไปยังอาการ์คาลาร์
และได้วางเหยื่อล่อเป็นควายเช่นเดิม แต่คราวนี้
เขาได้เลือกที่จะพรางตัวเองเข้าไปหินริมเชิงเขา ซึ่งเป็นจุดที่ลูกน้องของเขาบอกว่า
ไดยินเสียงเสือโคร่งตัวเมียตัวนี้ และเมื่อมันปรากฏตัว
ติมก็ส่องมันด้วยปืนไรเฟิลเต็มแรงจากระยะ 8 ฟุต เพราะมันเห็นจิมและพุ่งกระโจนเข้ามา
เมื่อถูกยิงแสกหน้าจนตายคาที่
จิมก็เข้าไปตรวจสอบซากเสือตัวนี้ พบว่าทั้งฟันและเล็บของมัน
มีแต่หักๆและบิ่นทั้งนั้น จึงได้ข้อสรุปว่า
เสือตัวนี้น่าจะแก่จนร่างกายเริ่มล่าเหยื่ออย่างสัตว์ป่าทั่วไปไม่ไหว
มันจึงหันมาล่ามนุษย์แทนนั่นเอง
ดีครับเรื่องแบบนี้ มีอีกไหมอยากอ่านอีก
ตอบลบ