วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เสือโคร่งผัวเมียแห่งโชวกาห์ (The Tigers of Chowgarh)


เสือโคร่งผัวเมียแห่งโชวกาห์ (The Tigers of Chowgarh)

คราวนี้เรียกได้ว่า อาจจะหนักกว่าเสือโคร่งตัวอื่นที่เคยออกอาละวาด เพราะคราวนี้มันมากันถึง 2 ตัว โดยเป็นเสือตัวผู้และตัวเมียพันธุ์เบงกอล ออกฆ่าคนถึง 64 คนในช่วงระยะเวลาแค่ 5 ปีทางตะวันออกของเมือง Kumaonโดยครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1500 ไมล์ (3900 กิโลเมตร) โดยการโจมตีครั้งแรกของพวกมันนั้น เกิดขึ้นจากคมเขี้ยวของเสือโคร่งตัวเมีย แต่เวลาต่อมา เจ้าตัวเมียตัวนี้ก็ได้แท็กทีมเข้ากับเสือโคร่งตัวผู้อีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่ของมัน

ตัวเลขของคนที่เสียชีวิตเพราะเสือ 2 ตัวนี้ แม้แต่ชาวเมืองก็ยังทราบไม่แน่ชัด แต่เขาเชื่อว่า จากตัวเลขเดิมที่ระบุไว้ที่ 64 คนนั้นน่าจะน้อยไป มันอาจจะมีมากกว่านี้เป็น 2 เท่าเลยก็ได้ เพราะบางที เราอาจจะไม่คาดถึงพวกที่รอดชีวิตจากการโจมตีของพวกมันแล้วมาเสียชีวิตในภายหลังก็มี

 

นายพรานที่ถูกส่งมาเพื่อล่าเสือโคร่งกลุ่มนี้ก็คือ ตำนานนายพรานที่เคยสยบ “เสือโคร่งแห่งซัมพาวัต” มาแล้วอย่าง “จิม คอร์เบ็ต” นั่นเอง

วันที่ 15 ธันวาคม ปี 1925 คนจากหมู่บ้านดัลคาเนียได้เดินทางขึ้นเขา เพื่อยังกระท่อมของบูเธีย ซึ่งเป้นเกษตรกรที่เลี้ยงแพะ โดยชาวหมู่บ้านดัลคาเนียตั้งใจที่จะเข้าไปเพื่อต่อว่าบูเธียเรื่องที่ว่า แพะของเขานั้นมักจะลงไปกินพืชผักที่พวกเขาปลูกไว้เป็นประจำ

แต่ทว่าเมื่อไปถึงพื้นที่กระท่อมของเขา กลับพบกับซากศพของสุนัขที่เขาเลี้ยงไว้เพื่อเฝ้าฝูงแพะ ถูกฆ่าตายอย่างน่าสยดสยอง และในบ้านนั้นก็มีร่องรอยการต่อสู้ แต่ไม่พบบูเธีย แต่แล้วในวันถัดมา ก็พบศพของบูเธียที่อยู่ในสภาพที่เละเทะ อยู่ห่างจากกระท่อมเพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้น

จิมถูกขอให้มาทำการล่าเสือร้าย 2 ตัวนี้ การล่าเสือร้ายทั้ง 2 ตัวเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1929 โดยจิมตั้งชื่อเสือกลุ่มนี้ว่า โชวกาห์ เพราะด้วยขนาดรูปร่างที่ใหญ่โตของพวกมัน จิมพบว่าเสือกลุ่มนี้ออกล่าเหยื่อเป็นประจำที่บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของสันเขาอาการ์ คาลาร์

นายพรานเลือดผู้ดีผู้นี้มาถึงบังกะโลริมชายป่าคาลาร์ในช่วงเดือนเมษายนหลังจากสิ้นเดือนมีนาคมประมาณ 4 วัน โดยพบว่าเหยื่อรายล่าสุดที่พวกมันฆ่านั้นคือ เด็กเลี้ยงวัววัย 22 ปี ยายของวัยรุ่นที่ตกเป็นเหยื่อ ได้อนุญาตให้จิมใช้ควายที่เธอเลี้ยงไว้ 4 ตัวไปเป็นเหยื่อล่อให้เสือโคร่งปิศาจพวกนี้ มาติดกับให้ได้

และเมื่อได้เบาะแสแล้ว จิมก็ได้ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านดัลคาเนีย ซึ่งอยู่ห่างจากบังกะโลประมาณ 16 กิโลเมตร และเมื่อไปถึง เขาก็ได้ข้อมูลมาว่า เสือได้พยายามฆ่าผู้หญิงนางหนึ่งที่มาเก็บข้าวโพด แต่ไม่สำเร็จ เมื่อเธอสามารถหนีได้ ซึ่งงานนี้ จิมได้ตกลงที่จะออกล่าเสือกลุ่มนี้ก่อนที่ชาวบ้านจะเสียขวัญไปมากกว่านี้

ตอนเที่ยง จิมได้เดินทางไปยังหุบเขาซึ่งเป็นบริเวณที่ชาวบ้านบอกว่า พวกเขาได้ยินเสียงคำรามของเสือ และหลังจากนั้นจนถึงช่วงบ่าย เขาก็ไม่พบอะไรที่เป็นร่องรอยเลย แต่ทว่าในช่วงเย็นนั้น จิมได้พบกับซากศพของหนุ่มเลี้ยงวัวที่เหลือเพียงเศษศพที่สภาพดูไม่ได้เสียแล้ว

แต่ในคืนนั้นเอง ก็ได้เรื่องเมื่อจิมสามารถยิงเสือตัวหนึ่งจนตายได้ และเมื่อเขาเข้าไปตรวจสอบนั้น เสือตัวนี้ยังเป็นเพียงแค่เสือตัวลูกเท่านั้น ยังโตไม่เต็มที่ นั่นทำให้เขาสันนิษฐานได้ว่า การล่าเหยื่อของพวกมันแต่ละครั้งนั้น ตัวเมียต้องพึ่งพาเสือตัวผู้ที่เป็นตัวลูกนี้ตลอด

วันต่อมา จิมใช้ควาย 4 ตัวเป็นเหยื่อล่อ แต่ตลอดระยะเวลา 10 วันที่เขาใช้เหยื่อล่อนั้น กลับไม่มีข่าวคราวที่เสือออกล่าคนเลย แม้แต่เหยื่อล่อก็ปลอดภัย ไม่มีพวกมันออกมาทำร้ายเลยสักครั้ง แต่มันเกิดเรื่องขึ้นในวันถัดมาต่างหาก หญิงสาวรายหนึ่งถูกฆ่าตายห่างจากหมู่บ้านประมาณครึ่งไมล์ และเมื่อจัดการทำพิธีศพเสร็จแล้ว จิมได้ลองใช้เหยื่อล่อเป็นแพะแทน แต่ก็ไม่ได้ผล เสียเวลาไปอีก 3 วัน แล้วก็มีหญิงสาวอีกนางหนึ่งถูกฆ่าตายที่หมู่บ้านโลฮาลิ ห่างจากหมู่บ้านดัลคาเนียไปทางใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร

เมื่อจิมเดินทางไป ก็พบว่าหญิวสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าจะช่วยกันปฐมพยาบาลกันอย่างเต็มที่ แต่เธอก็สิ้นใจในคืนวันต่อมา

จิมตัดสินใจเดินทางออกจากหมู่บ้าน โดยเตือนผู้ใหญ่บ้านว่า ให้พยายามต้อนควายให้กลับเข้าคอกก่อนมืด แต่ทว่า หลังจากจิมกลับไปนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ถูกฆ่าตายโดยเสือโคร่งตัวเมีย ...

1 ปีถัดมา จิมได้กลับมายังหมู่บ้านดัลคาเนียอีกครั้ง เพราะทราบข่าวมาอีกว่า มีผู้คนมากมายถูกเสือโคร่งตัวเมียนี้ฆ่าตายมากมายหลายศพ เขาใช้ควายเป็นเหยื่อล่ออีก แต่ก็กลับผิดพลาด เพราะยิงผิดตัว เขาไปตรวจสอบซากเสือที่เขายิงนั้น ไม่ใช่เสือโคร่งตัวที่กำลังอาละวาด จิมจึงตัดสินใจเข้าประชุมเพื่อปรึกษาแผนการกับนายอำเภอเทไร

ในวันที่ 22 มีนาคม ปี 1930 จิมได้รับข่าวมาจากอาการ์คาลาร์อีกว่า เสือโคร่งได้ฆ่าหญิงสาวคนหนึ่งไปอีกแล้ว จิมก็ไม่ยอมเปลี่ยนวิธี ยังคงใช้เยหื่อล่อเป็นควายเหมือนเดิม แล้วตัวที่มาติดกับโดนส่องแทน ก็เป็นเสือดาว 2 ตัวแทน

วันที่ 11 เมษายน ปี 1930 จิมพร้อมลูกทีมอีก 2 คนได้เดินทางไปยังอาการ์คาลาร์ และได้วางเหยื่อล่อเป็นควายเช่นเดิม แต่คราวนี้ เขาได้เลือกที่จะพรางตัวเองเข้าไปหินริมเชิงเขา ซึ่งเป็นจุดที่ลูกน้องของเขาบอกว่า ไดยินเสียงเสือโคร่งตัวเมียตัวนี้ และเมื่อมันปรากฏตัว ติมก็ส่องมันด้วยปืนไรเฟิลเต็มแรงจากระยะ 8 ฟุต เพราะมันเห็นจิมและพุ่งกระโจนเข้ามา

เมื่อถูกยิงแสกหน้าจนตายคาที่ จิมก็เข้าไปตรวจสอบซากเสือตัวนี้ พบว่าทั้งฟันและเล็บของมัน มีแต่หักๆและบิ่นทั้งนั้น จึงได้ข้อสรุปว่า เสือตัวนี้น่าจะแก่จนร่างกายเริ่มล่าเหยื่ออย่างสัตว์ป่าทั่วไปไม่ไหว มันจึงหันมาล่ามนุษย์แทนนั่นเอง

1 ความคิดเห็น: