วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เสือโคร่งแห่งเซกูร์ (Tiger of Segur)


เสือโคร่งแห่งเซกูร์ (Tiger of Segur)

เสือโคร่งผีสิงตัวต่อไปนั้น เป็นเสือโคร่งพันธุ์เบงกอลตัวผู้ที่มีขนาดที่โตเต็มวัยแล้ว โดยมันเริ่มออกฆ่าคนในพื้นที่ระหว่างเมืองมาลาบาร์ กับพื้นที่ตะวันเฉียงใต้ของเทือกเขา Blue Moutain ซึ่งมีเมือง กูดาเลอร์ตั้งอยู่  แต่สถานที่ๆสร้างชื่อเสียงและตำนานความดุร้ายของมัน อยู่ที่เมืองเซกูร์เสียมากกว่า  มันก็โดนนายพรานชาวอินเดีย ซึ่งโลดแล่นไปในป่าดงพงไพรยาวนานหลายสิบปีนามว่า “เคนเน็ธ อันเดอร์สัน” ยิงตายจนได้

 

มันเปลี่ยนพื้นที่ล่าเหยื่อโดยคราวนี้ มันได้รุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตเมืองเซกูร์ และอไนคัทตี้ และเริ่มต้นฆ่าคนที่นั่น โดยเหยื่อรายแรกของมันนั้นเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ไปตักน้ำที่ลำธาร

เคนเน็ธ อันแดร์สัน ได้เล่าว่าเขาพยายามที่จะแกะรอยของเสือปิศาจตัวนี้ โดยเขาได้ยินมาว่าเสือโคร่งตัวนี้ มักจะเดินไปมาบนถนนราว 30 กิโลเมตร ระหว่างป่าของเซกูร์และอไนคัตตี้ เพื่อล่าเหยื่อ โดยในช่วงอาทิตย์แรกนั้น เขาแทบไม่เจอร่องรอยของมันเลย นับว่าเป็นสัตว์ป่าที่ฉลาดมาก

จนแล้วจนรอด เขาก็ได้ยินข่าวที่ชวนน่าสงสัยว่า มีมนุษย์หายตัวไปในบริเวณเชิงเขา Nilgiris ซึ่งข่าวนี้ ได้มาในวันที่ 7 ที่เขาเริ่มต้นล่าเสือตัวนี้นี่เอง และเมื่อเขาไปพบซากศพนั้น ก็พบว่าสัตว์ที่กำลังกินซากอยู่นั้น เป็นหมีสล็อท หาใช่เสือโคร่งไม่

2 วันถัดมา มีรายงานมาจาก Mahvanhalla ระบุไว้ว่ามีผู้หญิงถูกเสือฆ่าตายบริเวณสะพานข้ามลำน้ำ ซึ่งอยู่ติดกับถนนใหญ่ และเมื่ออันแดร์สันเดินทางไปตรวจสอบนั้น ก็พบเจอเพียงแค่เศษชิ้นส่วนศพที่เหลือจากที่เสือโคร่งกินเท่านั้น เขาจึงนำชิ้นส่วนศพนั้น กลับไปให้สามีของเธอ เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

อันแดร์สันลองใช้เหยื่อล่อเสือตัวนี้ให้ออกมา โดยเขาผูกควายไว้ใกล้แม่น้ำเซกูร์ โดยตัวอันแดร์สันเองนั้นก็ไม่ได้คาดหวังว่า เสือตัวนี้จะมาติดกับ เพราะมันก็พึ่งจะกินคนไปหยกๆ แต่ที่เขาต้องแปลกใจก็คือวันถัดมา เมื่อเขากลับมาดูควายที่ผูกไว้ ปรากฏว่า กลายเป็นซากที่ถูกกัดกินจนดูไม่ได้อีกแล้ว ด้วยน้ำมือของเสือโคร่งตัวเดิม และคืนนั้นเอง เขาตัดสินใจต่อห้างยิงสัตว์บนต้นไม้ แต่เสือโคร่งตัวนี้กลับเงียบ ไม่ยอมปรากฏตัวออกมา

อีก 2 วันถัดมา เหยื่อรายต่อมาก็เกิดขึ้น โดยคราวนี้เป็นเด็กชาย เสือโคร่งตัวนี้บุกเข้าจู่โจม 2 พ่อลูกขณะกำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน โดยเสือโคร่งตัวนี้พยายามหลอกล่อให้เด็กนั้น ออกห่างจากพ่อ และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็ติดกับจริงๆ และถูกมันคาบเข้าป่าไป อันแดร์สันพยายามแกะรอยไปจนกระทั่งเขาต้องใชวิธีผูกตาข่ายและพรางด้วยใบไม้เพื่อที่จะพรางตัวเองเข้ากับธรรมชาติ ไม่ให้เสือโคร่งเห็นตัวเขา โดยเขาสังเกตพฤติกรรมบางอย่างมันได้ก็คือในตอนเย็น เสือโคร่งได้กลับเข้าป่าไป แต่ไม่ได้เอาศพไปด้วย แต่ไม่นานนัก มันก็กลับมาอีกเพื่อเอาศพที่กินเหลือไป

อีก 7 วันถัดมา เหยื่อรายนี้ก็เป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อันแดร์สันกับพ่อของเด็กผู้เสียชีวิต ได้ช่วยกันแกะรอยเสือโคร่งมหาภัยตัวนี้ด้วยการบุกเข้าป่า จนกระทั่งเจอศพเด็กหนุ่มผู้นี้ เขาสังเกตโดยรอบว่า พื้นที่บริเวณนั้นมีร่องรอยการต่อสู้เกิดขึ้นจริง พบทั้งหมวก รองเท้าตกอยู่ ศีรษะของเด็กชายนั้น มีรอยตะปบซึ่งเกิดจากอุ้งเท้าขนาดใหญ่ของเสือโคร่งตัวนี้ และอันแดร์สัน ก็ตัดสินใจที่จะตั้งห้างยิงสัตว์ในบริเวณนั้น เพราะเชื่อว่าเสือโคร่งตัวนี้จะต้องปรากฏตัวขึ้นอีก แต่การปฏิบัติการก็ต้องล้มเหลว เพราะเกิดฝนตกหนัก และติดโรคมาลาเลียที่กำลังระบาดในป่าเข้าจนได้

อันแดร์สันใช้เวลาพักฟื้นรักษาตัวอยู่ 3 วันจึงหายไข้และกลับมาไล่ล่าเสือโคร่งตัวนี้อีกครั้ง โดยเขามุ่งหน้าไปที่แม่น้ำเซกูร์พร้อมกับผู้ติดตาม โดยในระหว่างที่เขาซุ่มอยู่นั้น กวางตัวหนึ่งได้วิ่งออกมา และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่อเสือโคร่งฆาตกรตัวนี้ ปรากฏกายขึ้นที่ริมแม่น้ำ อันแดร์สันไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป เขาเหนี่ยวไกยิงด้วยปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์ .405 เข้าที่ซีกซ้ายของมันอย่างแม่นยำ

และเมื่อเขาได้เข้าไปตรวจสอบซากศพของเสือตัวนี้ พบว่าเสือโคร่งตัวนี้ตาบอดหนึ่งข้าง และมีร่องรอยการถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกซองอีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น