เสือโคร่งแห่งเซกูร์ (Tiger of Segur)
เสือโคร่งแห่งเซกูร์ (Tiger of Segur)
เสือโคร่งผีสิงตัวต่อไปนั้น
เป็นเสือโคร่งพันธุ์เบงกอลตัวผู้ที่มีขนาดที่โตเต็มวัยแล้ว โดยมันเริ่มออกฆ่าคนในพื้นที่ระหว่างเมืองมาลาบาร์
กับพื้นที่ตะวันเฉียงใต้ของเทือกเขา Blue Moutain
ซึ่งมีเมือง กูดาเลอร์ตั้งอยู่ แต่สถานที่ๆสร้างชื่อเสียงและตำนานความดุร้ายของมัน
อยู่ที่เมืองเซกูร์เสียมากกว่า มันก็โดนนายพรานชาวอินเดีย
ซึ่งโลดแล่นไปในป่าดงพงไพรยาวนานหลายสิบปีนามว่า “เคนเน็ธ อันเดอร์สัน”
ยิงตายจนได้
มันเปลี่ยนพื้นที่ล่าเหยื่อโดยคราวนี้
มันได้รุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตเมืองเซกูร์ และอไนคัทตี้ และเริ่มต้นฆ่าคนที่นั่น
โดยเหยื่อรายแรกของมันนั้นเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ไปตักน้ำที่ลำธาร
เคนเน็ธ อันแดร์สัน
ได้เล่าว่าเขาพยายามที่จะแกะรอยของเสือปิศาจตัวนี้
โดยเขาได้ยินมาว่าเสือโคร่งตัวนี้ มักจะเดินไปมาบนถนนราว 30 กิโลเมตร
ระหว่างป่าของเซกูร์และอไนคัตตี้ เพื่อล่าเหยื่อ โดยในช่วงอาทิตย์แรกนั้น
เขาแทบไม่เจอร่องรอยของมันเลย นับว่าเป็นสัตว์ป่าที่ฉลาดมาก
จนแล้วจนรอด เขาก็ได้ยินข่าวที่ชวนน่าสงสัยว่า
มีมนุษย์หายตัวไปในบริเวณเชิงเขา Nilgiris ซึ่งข่าวนี้
ได้มาในวันที่ 7 ที่เขาเริ่มต้นล่าเสือตัวนี้นี่เอง และเมื่อเขาไปพบซากศพนั้น
ก็พบว่าสัตว์ที่กำลังกินซากอยู่นั้น เป็นหมีสล็อท หาใช่เสือโคร่งไม่
2 วันถัดมา มีรายงานมาจาก Mahvanhalla ระบุไว้ว่ามีผู้หญิงถูกเสือฆ่าตายบริเวณสะพานข้ามลำน้ำ
ซึ่งอยู่ติดกับถนนใหญ่ และเมื่ออันแดร์สันเดินทางไปตรวจสอบนั้น
ก็พบเจอเพียงแค่เศษชิ้นส่วนศพที่เหลือจากที่เสือโคร่งกินเท่านั้น
เขาจึงนำชิ้นส่วนศพนั้น กลับไปให้สามีของเธอ เพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
อันแดร์สันลองใช้เหยื่อล่อเสือตัวนี้ให้ออกมา
โดยเขาผูกควายไว้ใกล้แม่น้ำเซกูร์ โดยตัวอันแดร์สันเองนั้นก็ไม่ได้คาดหวังว่า
เสือตัวนี้จะมาติดกับ เพราะมันก็พึ่งจะกินคนไปหยกๆ แต่ที่เขาต้องแปลกใจก็คือวันถัดมา
เมื่อเขากลับมาดูควายที่ผูกไว้ ปรากฏว่า กลายเป็นซากที่ถูกกัดกินจนดูไม่ได้อีกแล้ว
ด้วยน้ำมือของเสือโคร่งตัวเดิม และคืนนั้นเอง เขาตัดสินใจต่อห้างยิงสัตว์บนต้นไม้
แต่เสือโคร่งตัวนี้กลับเงียบ ไม่ยอมปรากฏตัวออกมา
อีก 2 วันถัดมา
เหยื่อรายต่อมาก็เกิดขึ้น โดยคราวนี้เป็นเด็กชาย เสือโคร่งตัวนี้บุกเข้าจู่โจม 2
พ่อลูกขณะกำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน โดยเสือโคร่งตัวนี้พยายามหลอกล่อให้เด็กนั้น
ออกห่างจากพ่อ และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็ติดกับจริงๆ และถูกมันคาบเข้าป่าไป
อันแดร์สันพยายามแกะรอยไปจนกระทั่งเขาต้องใชวิธีผูกตาข่ายและพรางด้วยใบไม้เพื่อที่จะพรางตัวเองเข้ากับธรรมชาติ
ไม่ให้เสือโคร่งเห็นตัวเขา โดยเขาสังเกตพฤติกรรมบางอย่างมันได้ก็คือในตอนเย็น
เสือโคร่งได้กลับเข้าป่าไป แต่ไม่ได้เอาศพไปด้วย แต่ไม่นานนัก
มันก็กลับมาอีกเพื่อเอาศพที่กินเหลือไป
อีก 7 วันถัดมา
เหยื่อรายนี้ก็เป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 18 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ป่าไม้
อันแดร์สันกับพ่อของเด็กผู้เสียชีวิต
ได้ช่วยกันแกะรอยเสือโคร่งมหาภัยตัวนี้ด้วยการบุกเข้าป่า
จนกระทั่งเจอศพเด็กหนุ่มผู้นี้ เขาสังเกตโดยรอบว่า
พื้นที่บริเวณนั้นมีร่องรอยการต่อสู้เกิดขึ้นจริง พบทั้งหมวก รองเท้าตกอยู่
ศีรษะของเด็กชายนั้น มีรอยตะปบซึ่งเกิดจากอุ้งเท้าขนาดใหญ่ของเสือโคร่งตัวนี้
และอันแดร์สัน ก็ตัดสินใจที่จะตั้งห้างยิงสัตว์ในบริเวณนั้น
เพราะเชื่อว่าเสือโคร่งตัวนี้จะต้องปรากฏตัวขึ้นอีก แต่การปฏิบัติการก็ต้องล้มเหลว
เพราะเกิดฝนตกหนัก และติดโรคมาลาเลียที่กำลังระบาดในป่าเข้าจนได้
อันแดร์สันใช้เวลาพักฟื้นรักษาตัวอยู่
3 วันจึงหายไข้และกลับมาไล่ล่าเสือโคร่งตัวนี้อีกครั้ง
โดยเขามุ่งหน้าไปที่แม่น้ำเซกูร์พร้อมกับผู้ติดตาม โดยในระหว่างที่เขาซุ่มอยู่นั้น
กวางตัวหนึ่งได้วิ่งออกมา และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่อเสือโคร่งฆาตกรตัวนี้
ปรากฏกายขึ้นที่ริมแม่น้ำ อันแดร์สันไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
เขาเหนี่ยวไกยิงด้วยปืนไรเฟิลวินเชสเตอร์ .405 เข้าที่ซีกซ้ายของมันอย่างแม่นยำ
และเมื่อเขาได้เข้าไปตรวจสอบซากศพของเสือตัวนี้
พบว่าเสือโคร่งตัวนี้ตาบอดหนึ่งข้าง
และมีร่องรอยการถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกซองอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น